"หัวเว่ย" ผลักดันเทคโนโลยีพลังงานดิจิทัล พลิกโฉมอุตสาหกรรมพลังงานที่ยั่งยืนแห่งอนาคต เร่งการเติบโตอีโคซิสเต็มด้านดิจิทัลในประเทศไทย

วันที่ 27 เม.ย. 2566 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากที่เทคโนโลยีดิจิทัลได้เข้ามามีบทบาทสำคัญเป็นอย่างมากในหลากหลายภาคอุตสาหกรรม ทั้งด้านการขับเคลื่อนนวัตกรรม การส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจ และการรับมือกับความท้าทายระดับโลก เช่น เรื่องการพัฒนาที่ยั่งยืน และเรื่องการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิ อากาศจากภาวะโลกร้อน ซึ่งก็มีหลายบริษัทให้ความสำคัญ เช่นเดียวกับ บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จํากัด ผู้ให้บริการด้านโซลูชันเทคโนโลยี สารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที)
โดยในงานสัมมนาธุรกิจ "EARTH JUMP 2023: New Frontier of Growth" ที่จัดขึ้นโดยธนาคารกสิกรไทย ดร.ชวพล จริยาวิโรจน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด ได้เน้นย้ำถึงผลกระทบของเทคโนโลยีดิจิทัลที่มีต่อพลังงานทางเลือกและศักยภาพในการขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจ และได้กล่าวถึงงานวิจัยที่ชี้ให้เห็นว่า เศรษฐกิจดิจิทัลมีอัตราการเติบโตโดยเฉลี่ยมากกว่าอัตราการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ (GDP) ทั่วโลกถึง 3-5 เท่า สิ่งนี้บ่งชี้ว่า เทคโนโลยีดิจิทัลเป็นสิ่งสำคัญ ที่จะขับเคลื่อนหลักของการเติบโตทางเศรษฐกิจในอนาคต ได้อย่างยั่งยืนและชาญฉลาด

และปัจจุบัน "การพัฒนาอย่างยั่งยืน" กลายเป็นเทรนด์ที่ทั่วโลกกำลังให้ความสำคัญผ่าน 2 แนวทางหลัก อันได้แก่ การเปลี่ยนผ่านสู่เทคโนโลยีดิจิทัล และการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งในความเป็นจริง 133 ประเทศใน 116 ภูมิภาคทั่วโลกได้ให้คำมั่นสัญญาคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ (Net-zero Carbon) โดยเน้นย้ำถึงความเร่งด่วนในการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อุตสาหกรรมพลังงานกำลังอยู่ ระหว่างการเปลี่ยนแปลงที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ไปสู่การทำให้เป็นคาร์บอนต่ำ และบรรลุความเป็นกลางของคาร์บอน ซึ่งเทคโนโลยีดิจิทัลจะเข้ามามีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว

ดังนั้น หัวเว่ย ในฐานะผู้นำด้านพลังงานทดแทนของโลก ได้นำความฉลาดจากเทคโนโลยี 5G Cloud และ AI เข้ามาผสานกับพลังงานดิจิทัล เพื่อรองรับการผลิตพลังงานที่ชาญฉลาดและมีประสิทธิภาพ โดยหนึ่งในประเด็นหลักที่ หัวเว่ย ให้ความสำคัญคือภาคส่วนพลังงานจากแสงอาทิตย์ในประเทศไทย เนื่องด้วยประเทศไทยมีพื้นที่ที่มีแสงแดดเกือบทุกวันตลอดทั้งปี

ดร.ชวพล ยังได้กล่าวเพิ่มเติมว่า หากอาคารและบ้านเรือนต่างๆ ของประเทศไทยที่มีจำนวน 12 ล้านหลังคาเรือน เปลี่ยนมาใช้พลังงานจากแสงอาทิตย์จากโซลาร์ เซลล์เพียง 70% ก็จะทำให้สามารถผลิตพลังงานไฟฟ้ารองรับได้ทั้งประเทศ สิ่งนี้เน้นย้ำให้เห็นถึงศักยภาพอันยิ่งใหญ่ของพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศไทย รวมถึงบทบาทที่สำคัญของหัวเว่ยในการสนับสนุนการพัฒนาศักยภาพดังกล่าว

สำหรับประเทศไทยก่อนหน้านี้ หัวเว่ย ได้ร่วมมือกับห้างสรรพสินค้า ซีคอน สแควร์ เพื่อติดตั้งหลังคาโซลาร์ขนาด 5 MWp ซึ่งเป็นหนึ่งในฟาร์มโซลาร์ เซลล์ที่ใหญ่ที่สุดในห้างสรรพสินค้าในกรุงเทพฯ หลังคาโซลาร์ดังกล่าวได้ผลิตไฟฟ้าให้ซีคอนสแควร์ตั้งแต่ต้นปี พ.ศ. 2564 ส่งผลให้ห้างสรรพสินค้าซีคอนสแควร์ สามารถประหยัดค่าไฟฟ้าได้เป็นอย่างมาก และหลังคาโซลาร์ขนาด 5 MWp ยังช่วยลดการปล่อยคาร์บอนได้ มากถึง 4,000 ตัน นับตั้งแต่วันที่เริ่มใช้งาน ซึ่งเทียบเท่ากับการปลูกต้นไม้ ประมาณ 5,464 ต้น โครงการนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่ยุคแห่งความเป็นกลางทางคาร์บอนอีกด้วย

ทั้งนี้ หัวเว่ย พร้อมสนับสนุนและเร่งสร้างความเติบโตในการใช้พลังงานทดแทนในประเทศไทย ด้วยการส่งเสริมการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์แบบ Smart PV ทั้งในระดับองค์กรและระดับครัวเรือน โดยร่วมกับ ธนาคารกสิกรไทย มีเป้าหมายจะสนับสนุนโครงการจำนวน 30,000 โครงการภายในเวลา 3 ปี ซึ่งจะทำให้สามารถในการลดก๊าซคาร์บอนได้ถึง 265,000 ตัน

อย่างไรก็ตาม หัวเว่ย ยังได้ยังใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อปกป้องสิ่งแวดล้อม ทั้งการติดตั้งเซนเซอร์เสียง "Guardian" ในป่าฝนเขตร้อน ประเทศมาเลเซียเพื่อติดตามกิจกรรมของมนุษย์ที่อาจจะตัดไม้ทำลายป่าฝนได้แบบเรียลไทม์

แหล่งที่มา : www.thairath.co.th

thThai